วันศุกร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ค็อกเทล ยอดรักนักดื่ม.


ค็อกเทล ยอดรัก นักดื่ม

ประวัติความเป็นมา

       ต้นกำเนิดของเครื่องดื่มค็อกเทลนั้นไม่ปรากฏชัด ส่วนการผสมเครื่องดื่มแบบนี้มีมาแต่สมัยศตวรรษที่ 14 ในประเทศฝรั่งเศส โดยใช้เบีย เหล้าน้ำผึ้งเป็นหลักแล้วจึงนำมาผสมกับเหล้าที่ใส่เครื่องเทศ และมีพัฒนาการไปใช้ ไวน์ เหล้า เครื่องเทศ น้ำตาล น้ำผลไม้ผสมกัน โดยชาวฝรั่งเศสเรียกว่า coquetel (คอเกอเตล)


      ประมาณปี พใศ 2318 ถึง พ.ศ 2326 ทหารฝรั่งเศสเดินทางไปช่วยสหรัฐอเมริกาทำสงครามกับประเทศอังกฤษและทหารฝรั่งเศสได้ผสมเครื่องดื่มแบบนี้ดื่มกันและได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วในหมู่ทหารของสหรัฐอเมริกาแม้สงครามจะหยุดลงแล้วความชื่นชอบในเครื่องดื่มชนิดนี้ก็ยังคงอยู่ และแพร่หลายในประเทศสหรัฐอเมริกา ส่วนการเรียกขานชื่อคาดว่าเพี้ยนมาจากคำว่า coquetel (คอเกอเตล) ในภาษาฝรั่งเศษ






ชนิดของค็อกเทล

1.แอพเพอริทิฟ ค็อกเทล (Aperitif Cocktail)   นิยมดื่มก่อนอาหาร เพื่อเรียกน้ำย่อย เช่น Martini, Manhattan, Old Fashion
2.ค็อกเทล (Cocktail) เครื่องดื่มที่นิยนดื่มในงานเลี้ยงต่างๆ มีรสหวานและมีการผสมผลไม้ต่างๆ เช่น Pink Lady, Bacadi Cocktail, Alexander
3.ไฮบอล หรือ ลองดริ๊งค์ (Highball or Long Drink) นิยมดื่มแก้กระหาย มีน้ำผลไม้และน้ำเชื่อมเป็นส่วนผสม ทำให้มีรสเปรี้ยว หวาน เช่น Fizz, Collins
4.สะติมิวแลนท์ ( Stimulant) เหมาะสำหรับบำรุงร่างกาย เพราะมี ครีม ไข่ นมสด ผสมอยู่ ส่วนมากนิยมดื่มในตอนเช้า เช่น Egg Nog, Flips



วิธีการผสมค็อกเทล

1.การริน หรือ เท (To Build) เราไม่ต้องใช้อุปกรณ์อะไรเลย เป็นการผสมลงในแก้วที่ใช้เสิร์ฟ โดยตวงส่วนผสมลงในแก้วให้ครบส่วน

2.การคน (To Stir)  คือการผสมแบบคนส่วนผสมจากภาชนะอื่นผสมกับน้ำแข็งแล้วกรองเอาเฉพาะน้ำเสิร์ฟไม่ให้มีน้ำแข็งปะปนลงไปด้วย ซึ่งตามบาร์มาตรฐานจะมีที่กรองน้ำแข็งที่เราเรียนกว่า Strainer   แล้วเทลงแก้วประเภทสั้น เพียงเพื่อต้องการให้

3.การเขย่า (To Shake) คือการเขย่าให้เย็นการผสมแบบนี้มักใช้กับค็อกเทลที่มีส่วนผสมที่เข้ากันค่อนข้างยาก จึงต้องใช้แรงเขย่าเข้าช่วย อุปกรณ์ที่ใช้เขย่าเรียกว่า เชคเกอร์ (Shaker)

4.การปั่น (Blender) คือการปั่นด้วยเครื่องไฟฟ้า เพื่อให้เครื่องดื่มเย็นจัด โดยการใส่ส่วนผสมที่ต้องการลงในเครื่องปั่นพร้อมน้ำแข็งจะได้เครื่องดื่มเป็นเกล็ดเย็นจัด การผสมเครื่องดื่มโดยการปั่น มักจะใช้กับส่วนผสมที่เป็นชิ้นๆ และเข้ากันค่อนข้างยาก เช่น ผลไม้ น้ำผลไม้ ครีม ไอศกรีม น้ำแข็ง เป็นต้น 
5.การจัดชั้น (To Layer) คือการรินส่วนผสมเบาๆลงบนหลังช้อนบาร์ โดยเรียงลำดับส่วนผสมตามความหนักเบาของวัตถุดิบ การจัดชั้นแบบนี้ต้องรู้ว่าวัตถุดิบหรือเหล้าชนิดไหน หนัก เบากว่ากัน






อุปกรณ์ผสมค็อกเทล

1.เช็คเกอร์                                     2. จิกเกอร์

3. ช้อนบาร์                                    4. เครื่องปั่น

5. มีดและเขียง                              6. ที่รินเหล้า





การตกแต่งแก้วให้สวยงาม

 1.เปลี่ยนแก้วแบบใหม่ไฉไลกว่าเดิม
         ลองเลือกใช้ภาชนะแก้วที่เหลือ ๆ  มองไปรอบตัวแล้วหยิบขวดโหล ขวดแยมผลไม้ หรือขวดแก้วต่าง ๆ ที่เหลือใช้แบบที่ชอบนำมาใส่เครื่องดื่มแทน รับรองแหวกแนวโดนใจแน่นอน ทั้งยังประหยัด และไม่ซ้ำใครอีกด้วย แต่ควรจะล้างให้สะอาด เพื่อลดกลิ่นเดิมที่ติดมากับขวดด้วย เครื่องดื่มของคุณจะได้ไม่เสียรสชาตินะคะ

2. ใส่ชิ้นผลไม้เพิ่มสีสันเพิ่มรสชาติ
           นอกจากจะนำชิ้นผลไม้มาประดับไวที่ปากแก้วแล้ว ลองเปลี่ยนเป็นชิ้นผลไม้ฝานบาง ๆ ที่เข้ากันกับเครื่องดื่มใส่ลงไปในแก้วเครื่องดื่มด้วย นอกจากจะเพิ่มรสชาติแล้ว ยังสร้างลวดลายได้สวยงามทีเดียว แต่ไม่ใช่ว่าจะเป็นผลไม้ชนิดใดก็ได้นะคะต้องเลือกที่เข้ากันไม่อย่างนั้นเครื่องดื่มคุณเสียรสแย่

3.เปลือกผลไม้อ้อยอิ่งอยู่ริมแก้ว
          ลองนำเปลือกผลไม้ที่เหลืออย่างส้ม เกรปฟรุต แอปเปิ้ล เป็นต้น มาฝานเป็นเส้นๆ แล้วจับไปห้อยอ้อยอิ่งอยู่ข้าง ๆ แก้วก็เป็นไอเดียที่ดีไม่น้อย

4.ผลไม้ค็อกเทล
          หากในงานปาร์ตี้ของคุณมีผลไม้ค็อกเทลเหลือ ๆ ก็ลองจับมาวางบนเครื่องดื่มแก้วโปรดก็ชวนดื่มไม่น้อย หรือถ้าไม่มีก็แบ่งเนื้อผลไม้ที่ทำเครื่องดื่มไว้สักนิดแล้วเอามาเสียบไม้ปลายแหลมอันเล็ก ๆ วางบนปากแก้ว รับประทานไปพร้อม ๆ กันเข้าถึงรสชาติของน้ำผลไม้แก้วนี้ดีเหลือเกิน

5. ช้อนคนเครื่องดื่มจากผัก และผลไม้
        ลองเปลี่ยนอุปกรณ์ที่ใช้คนเครื่องดื่มจากช้อนธรรมดาทั่วไปให้เป็นผลไม้ หรือผักที่ตัดแต่งให้มีขนาดพอดีกับแก้ว นอกจากจะสามารถคนให้เครื่องดื่มของคุณเข้ากันดีแล้ว ผัก และผลไม้บางชนิดยังรับประทานได้อีกด้วย  

6.ปากแก้วเปื้อนเกลือ
         ปากแก้วโล่ง ๆ อาจทำให้เครื่องดื่มของคุณไม่ชวนดื่มเท่าไหร่นัก ลองนำชิ้นผลไม้ที่เหลือทาปากแก้วให้รอบ แล้วนำปากแก้วไปคว่ำจุ่มลงในเกลือบาง ๆ เพียงเท่านี้แก้วเครื่องดื่มของคุณก็ดูเก๋แล้วค่ะ แนะนำอย่าจุ่มเกลือมากเกินไปนะคะ หรืออย่าเทเครื่องดื่มใส่จนถูกเกลือด้านบน เพราะเกลือส่วนที่ไม่โดนน้ำของผลไม้ที่ทาไว้ อาจจะหล่นไปผสมกับเครื่องดื่มของคุณจนอาจจะเค็มไม่รู้ตัว

7.สดใสด้วยสีสันของเครื่องดื่ม
          ควรเลือกผลไม้ที่นำมาทำเครื่องดื่มแล้วได้สีสันสดใสชวนดื่ม หรืออยากให้เครื่องดื่มของคุณมีหลาย ๆ สีก็ลองเปลี่ยนจากการคนผสมให้เข้ากันแล้วนำมาเทใส่แก้วเป็นการเทไล่สีให้เป็นชั้น ๆ สลับสีกันก็ไปมาสร้างความสวยงามชวนดื่มได้ดีทีเดียว หรือถ้าหากเครื่องดื่มของคุณมีส่วนผสมชนิดเดียว อาจจะผสมสีผสมอาหารสักนิดเพื่อให้ได้สีที่แตกต่าง แต่วิธีอาจจะต้องพิถีพิถันในขั้นตอนการเทด้วย ไม่เช่นนั้นสีอาจจะลงไปผสมกันมั่วก็เป็นได

 8.ใบสะระแหน่ง่าย ๆ แต่สวยงาม
          ใบสะระแหน่นี่แหละถือเป็นเจ้าแม่แห่งการตกแต่งอาหารเรามักจะเห็นประดับอยู่บนอาหารเสมอ เพียงนำใบสะระแหน่ช่อสวย ๆ วางไว้ที่ปากแก้ว พร้อมด้วยชิ้นผลไม้สักชิ้น ยิ่งถ้าเป็นสีตัดกันกับเครื่องดื่มจะสวยงามไม่ใช่น้อย หรือจะใช้ใบพาสเลย์ ใบโหระพา หรือใบขึ้นช่ายก็สามารถทำได้เช่นเดียวกัน เพียงแค่เลือกช่อสวย ๆ ก็พอ



ส่วนผสมอื่นๆในค็อกเทล

1.น้ำแข็ง
เป็นส่วนผสมประกอบที่สำคัญ ในการผสมค็อกเทลแต่ละชนิดต้องการความเย็นต่างกัน น้ำแข็งจึงมีบทบาทสำคัญมาก บางเมนูเราสามารถเรียกได้ว่า ไม่สามารถขาดได้นั้นเอง และส่วนมากน้ำแข็งก็จะขาดเสียไม่ได้ในการผสมค็อกเทล ทำให้เครื่องดื่มเย็นในอุณหภูมิที่เหมาะสม เช่น มาร์ตินี่ (Martini) หรือ แมนฮัตตัน (Manhattan) โดยใช้วิธีผสมในแก้วผสมเพียงให้เย็นพอประมาณ และให้น้ำแข็งละลายน้อยที่สุด แล้วจึงกรองเฉพาะน้ำเสิร์ฟ ทำให้เครื่องดื่มค็อกเทลมีความเข้มข้น เป็นน้ำเป็นเนื้อเข้ากันได้ดี ซึ่งมักจะเป็นสูตรที่ระบุให้ใช้น้ำแข็งก้อน 2-3 ก้อนหรือน้ำแข็งบด อาจใช้วิธีเขย่าหรือปั่นส่วนผสมให้เย็นจัด และมีเนื้อเข้มข้น
2.น้ำผลไม้(Juice)
น้ำผลไม้สด(Fresh Juice)ช่วยให้ค็อกเทลมีรสชาติดีจึงเป็นที่นิยมกันมาก น้ำผลไม้ที่คั้นสดๆ จะช่วยให้รสชาติเครื่องดื่มดี และมีกลิ่นหอม แต่ทั้งนี้การใช้น้ำผลไม้กระป๋องก็มีปรากฏในสูตรต่างๆเช่นกัน เพราะบางครั้งเพื่อความสะดวกรวดเร็วในการผสมเครื่องดื่ม และ เพื่อต้นทุนสินค้าในแต่ละวันอีกด้วย น้ำผลไม้ควรจัดเก็บไว้ในน้ำแข็งละเอียดเท่านั้น ไม่ควรจัดเก็บไว้ในตู้เย็น เพราะคุณค่า และ ความหอมของน้ำผลไม้จะเปลี่ยนไป พร้อมทั้งรสชาติดั้งเดิมก็จะเปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน
3.น้ำผลไม้ปรุงแต่งรสเข้มข้น (Fruit Squash)
มักจะมีรสชาติเข้มข้น คือเปรี้ยวจัด หวานจัด ฉะนั้นเมื่อมีการนำมาใช้จึงต้องผสมน้ำให้เจือจาง ซึ่งจะมีอัตราส่วนผสมบอกไว้ที่ฉลากข้างขวด

4.น้ำเชื่อม (Syrup)
คือส่วนผสมของน้ำตาลทรายขาวและน้ำสัดส่วนในการผสมน้ำเชื่อมใช้น้ำตาลทรายขาว 1 ถ้วย ผสมกับน้ำอุ่น 1 ถ้วย  คนให้น้ำตาลละลาย(ไม่ตั้งบนเตาไฟ)ปล่อยให้เย็นแล้วกรองใส่ขวดเก็บไว้ใช้ได้นานน้ำเชื่อมควรจะมีสีใส เพราะเมื่อผสมน้ำเชื่อมลงในเครื่องดื่มแล้วสีของเครื่องดื่มไม่ควรจะเปลี่ยน การเปลี่ยนสีของเครื่องดื่มจะทำให้ดูไม่น่าดื่มได้ การจัดเก็บสามารถเก็บไว้ในตู้เย็นได้
5.ครีม (Cream) ครีมสด (Fresh Cream)
จะมีสีขาว ส่วนครีมที่บรรจุกระป๋อง (Light Cream หรือ Double Cream) จะมีสีค่อนข้างคล้ำกว่า ครีม นิยมผสมในเครื่องดื่มที่ดื่มหลังอาหาร เพราะจะมีรสหวานมัน เครื่องดื่มที่ใช้ครีมผสมมีหลายชนิด เช่น อเล็กซานดรา (Alexandra) กราส ฮอปเปอร์ (Grass Hopper) โกลเด้นโกลด์ (Golden Gold) การเลือกใช้ครีมสดจะทำให้รสชาติและสีสันของเครื่องดื่มดูน่ารับประทาน
6.ไข่ (Egg)
ไข่ที่ใช้ผสมเครื่องดื่มใช้ได้ทั้งไข่ขาว และไข่แดงเครื่องดื่มที่ใช้ไข่ขาวเพียงอย่างเดียวก็เพื่อให้เครื่องดื่มนั้นมีความเข้มข้นและมีฟอง การใช้ไข่ขาวผสมเพื่อเป็นส่วนประกอบสำคัญของสีในอาหารนั้นๆ เราใช้ไข่ขาวเพียงเล็กน้อยเท่านั้นในแต่ละเมนู ฉะนั้นก่อนใช้ควรแยกไข่ขาวและไข่แดง และควรแบ่งไข่ขาวออกเป็นสามส่วน เพราะเวลาใช้ใช้สะดวกขึ้น ส่วนการใช้ไข่แดงผสมมักจะใช้ทั้งฟอง การใช้ไข่แดงก็เพื่อให้รสชาติมันและสีสวย ไข่ที่เหลือจากการใช้ไม่ควรจะเก็บไว้นาน เพราะจะทำให้เสียเร็ว ทุกอย่างต้องเก็บในน้ำแข็งเท่านั้น  แต่ปัจจบันมีปัญหาเรื่องไข้หวัดนกระบาด จึงไม่นิยมนำไข่มาผสมในเครื่องดื่มค็อกเทล
7.ไอศกรีม (Ice-Cream)
การใช้ไอศกรีมในเครื่องดื่มค็อกเทลจะใช้แทนน้ำแข็ง โดยใส่ในเครื่องดื่มประเภทปั่น ไอศกรีมมีสี กลิ่น รส และความเย็นอยู่แล้ว เราอาจผสมเป็นเครื่องดื่มแทนของหวาน ใช้ดื่มหลังอาหาร บางเมนูก็ใช้เป็นวัตถุดิบรองในค็อกเทล หรือ ม็อกเทลนั้นๆ
8.น้ำ-น้ำแร่-น้ำอัดลม
เครื่องดื่มผสมที่หลายๆสูตรที่ต้องทำให้เจือจางลง และรสชาติดีขึ้น น้ำ น้ำแร่ และน้ำอัดลมจึงมีบทบาทมาก

น้ำ (Water) น้ำโดยทั่วไปใช้ผสมเพื่อให้เครื่องดื่มเจือจางลงและไม่บาดคอ เช่น วิสกี้น้ำ บรั่นดีน้ำ ส่วนมากในค็อกเทลจะไม่นิยมใช้น้ำผสมในเมนู(ไม่ใช้เลย)
น้ำแร่ ใช้ผสมให้เครื่องดื่มเจือจางเช่นกันแต่จะเพิ่มคุณค่าในส่วนของแร่ธาตุต่างๆต่อร่างกาย ส่วนมากจะไม่ค่อยพบในเมนูยอดนิยม
น้ำอัดลม มีหลายชนิดใช้ผสมเครื่องดื่ม เพื่อให้รสชาติดี และมีกลิ่นหอมต่างๆกันเช่น
น้ำโซดา (Soda) คือน้ำผสมแก๊ส เพื่อให้เกิดรสซ่า และเครื่องดื่มเจือจางลง
น้ำโค๊ก เป็นน้ำที่มีรสหวาน อัดแก๊ส ใช้ผสมเครื่องดื่มเพื่อให้รสชาติดี น้ำรสมะนาว (Lemonade) คือน้ำอัดลมรสมะนาว มีหลายชนิด ชนิดที่มีรสเปรี้ยวเล็กน้อย และมีรสหวานประกอบ เช่น 7 up Sprite อาจใช้ผสมกับบรั่นดี วิสกี้ จิน ก็จะทำให้เครื่องดื่มออกรสเปรี้ยว หวาน และ ซ่า
น้ำโทนิค (Tonic Water) มีสีใส ทำจากควินิน ปรุงรสให้หวาน รสชาติจึงออกหวานเฝื่อนเล็กน้อยนิยมผสมเป็นเครื่องดื่มต่างๆเช่น Gin Tonic , Vodka Tonic
น้ำขิง (Dry Ginger Ale) จะมีสีเหลือง รสขิงหวาน และอัดแก๊ส จึงทำให้ซ่า นิยมผสมกับบรั่นดี วิสกี้ บางคนเรียกน้ำขิงว่า Dry เฉยๆเช่น Brandy Dry หรือ Dry Ginger เช่น Brandy Dry Ginger
การใช้น้ำ น้ำแร่ น้ำอัดลม ผสมในค็อกเทลควรแช่ให้เย็นจัด จะทำให้เครื่องดื่มรสชาติดีขึ้น ความซ่าจากแก๊สก็จะอยู่นาน และไม่ทำให้น้ำแข็งละลายมากเกินไปอีกด้วย บางครั้งฝีมือในการปรุงอาหารแต่ละครั้ง การนำเทคนิคเช่นนี้มาใช้ก็จะสามารถทำให้ชนะคู่แข่งขันได้






ตัวอย่างวิธีการทำค็อกเทล 


1.Margarita  มาการิต้า

  เครื่องดื่มสุดคลาสสิกจากประเทศเม็กซิโก เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1942 โดยเอกลักษณ์ของค็อกเทลชนิดนี้คือการตกแต่ง ที่จะใช้เกลือไปทาไว้ที่ขอบปากแก้ว ทำให้ค็อกเทลมีรสชาติเปรี้ยว หวานและเค็ม ผสมผสานกันจนออกมาเป็นรสที่กลมกล่อม ละมุนยิ่งนัก
    
       ส่วนผสม
       1. น้ำแข็ง
      
       2. น้ำมะนาวสด ¾ ออนซ์
      
       3. เหล้า triple sec หรือเหล้า Cointreau 1 ออนซ์
      
       4. เหล้า blanco tequila 1/1/2 ออนซ์
      
       วิธีทำ
     
       ก่อนอื่นนำส่วนผสมทั้งหมดที่เตรียมไว้ลงในกระบอกเชก (ให้ใส่น้ำแข็งลงไปพอประมาณด้วย) จากนั้นก็ทำการเชกจนส่วนผสมเข้าที่ รินใส่แก้ว ตกแต่งด้วยมะนาวหั่นเป็นวงกลมสักอันก็สวยงามน่าดื่มแล้ว ส่วนเคล็ดลับในการทาเกลือบริเวณขอบปากของแก้วนั้นให้นำมะนาวไปทาวนๆ บริเวณขอบแก้ว แล้วนำไปคว่ำชุบลงบนเกลือเพียงเท่านี้เอง ง่ายไหมล่ะ






   2. Classic Daiquiri

ค็อกเทลสูตรนี้มีต้นกำเนิดมาจากประเทศคิวบาและเป็นค็อกเทลที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในโลกตัวหนึ่งเลยทีเดียว
      
       ส่วนผสม
      
       1. รัมขาว 2 ½ ออนซ์
      
       2. น้ำมะนาว 1 ½ ออนซ์
      
       3. น้ำตาล 4 ช้อนชา
      
       4. มะนาวสด 1 ผล
      
       5. น้ำแข็ง
      
       วิธีทำ
      
       เตรียมอุปกรณ์เชกเกอร์ จากนั้นใส่รัมขาว, น้ำมะนาวและน้ำตาลลงไป (ทำให้น้ำตาลละลาย) ตามด้วยใส่น้ำแข็งแล้วเขย่าจนค็อกเทลเย็น รินใส่แก้ว ตกแต่งด้วยมะนาวให้สวยงาม 





  

สิ่งที่ควรระวังในการทำค็อกเทล

     1. ถ้าเราจะทำค็อกเทลเป็นเครื่องเรียกน้ำย่อย (ดื่มก่อนอาหาร) เครื่องดื่มแก้วนั้นควรมีรสชาติที่ไม่หวาน อาจจะออกเปรี้ยวเล็กน้อยเช่นเดียวกัน ถ้าเราต้องการทำเครื่องดื่มแก้วนั้นสำหรับดื่มหลังอาหาร ควรจะมีรสชาติหวาน
      2. ถ้าเราทำเครื่องดื่มที่ต้องการเชคเกอร์ ห้ามใส่ส่วนผสมที่มีแก๊สลงในเชคเกอร์ เพราะแก๊สจะทำให้เชคเกอร์แยกออกจากกัน
      3. ส่วนผสมของเครื่องดื่มไม่ควรมีมากเกินไป เพราะจะทำให้ยุ่งยากในการทำ
      4. สีสันของเครื่องดื่ม ควรมีสีสันที่สวยงาม สดใส น่าดื่ม
      5. วัตถุดิบใช้ประดับเครื่องดื่มควรรับประทานได้ไม่แพง และหาใช้ง่าย
      6. ถ้าต้องการใช้ดอกไม้ เพื่อประดับเครื่องดื่มควรจะให้ห่างจากเครื่องดื่มให้มาก ป้องกันดอกไม้ตกลงในเครื่องดื่ม
      7. อย่าใช้ผลไม้ที่เปลี่ยนสีหลังจากปอกเปลือกมาประดับเครื่องดื่ม เช่น กล้วย แอปเปิ้ล
      8. ใช้แก้วที่ขนาดเหมาะสมกับปริมาณเครื่องดื่ม และไม่ควรมีสี เพราะจะบดบังสี เพราะจะบดบังสีของเครื่องดื่ม










วีดีโอ ตัวอย่างการทำค็อกเทล











อ้างอิงจาก

คุุณ สุรวัตร ลอร์ดอล







ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น